อังกฤษที่ผมเห็น ตอนที่ 11 - 21
อังกฤษที่ผมเห็น ตอน 11:
ความพยายามในการลดการใช้พลาสติกและจัดการขยะ
ผมชอบที่สุดเรื่องหนึ่งของประเทศพัฒนาแล้วคือการจัดการขยะ ที่อังกฤษสิ่งที่ผมประทับใจมาก คือ เขาพยายามลดใช้พลาสติกอย่างจริงจัง อาหาร take-away จะใช้ช้อนส้อมไม้ ใช้ถ้วยจานแก้วและหลอดกาแฟจากกระดาษ ถุงใส่ก็เป็นกระดาษ ไม่มีพลาสติกโดยเกือบจะสิ้นเชิง
ร้านค้าก็ดูจะพยายามลดพลาสติกเช่นกัน ร้านสรรพสินค้า primark ใช้ไม้แขวนเสื้อผ้าเป็นกระดาษแข็ง ซื้อแล้วไม่มีถุงพลาสติกให้ใส่ของโดยสิ้นเชิง ถ้าไม่เอาถุงมาก็มีถุงผ้าขาย ห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆประกาศเป้าหมาย net zero ในการปล่อยคาร์บอนอย่างชัดเจน
อาหารในห้างหรือร้านสะดวกซื้อที่ใกล้หมดอายุ จะถูกนำมาไว้ใน food donation point เพื่อนำไปบริจาค ไม่ให้ถูกทิ้งเสียเปล่า ใครจะบริจาคเพิ่มก็ได้
ร้านสะดวกซื้อทุกร้านจะมีถังขยะอันตรายด้วย ไว้สำหรับส่งคืนแบตตารี่ ถ่านไฟฉายที่ใช้แล้ว ผมเลยใช้บริการเสียเลย
สุดท้ายเมื่อมีขยะที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็มีการแยกขยะที่ชัดเจน ขยะไหน recycle ได้ จะถูกนำไปจัดการเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ แต่บ้านเราแยกขยะแล้วไปเทกองรวมในบ่อขยะ การแยกขยะจึงไม่จูงใจเลย
และที่น่าทึ่งมากคือ รถเก็บขยะครับ รถเก็บขยะสะอาดมาก แววสวยสีสดใสทุกด้าน ยกเว้นด้านที่เทขยะลงไปเท่านั้นที่ดูเลอะเทอะบ้าง อะไรจะสะอาดปานนี้
ประเทศไทยคงอีกนาน และไม่เห็นมีพรรคการเมืองไหนเลยที่มีนโยบายว่าด้วยการจัดการขยะที่จริงจัง
อังกฤษที่ผมเห็น 12:
ต้นแอปเปิ้ลของนิวตัน
ทริปอังกฤษของผมและครอบครัวครั้งนี้ ลูกชายตั้งใจพานั่งรถไฟไปเคมบริจด์ ไปดู “ต้นแอปเปิ้ลประวัติศาสตร์” ต้นที่แอปเปิ้ลตกใส่ศีรษะของเซอร์ไอแซคนิวตัน จนเกิดคำถามทางวิทยาศาสตร์ที่ยากจะตอบว่า อะไรที่ทำให้แอปเปิ้ลและสรรพสิ่งบนโลกล้วนตกสู่พื้นดิน และในที่สุดนิวตันก็ค้นพบทฤษฎีแรงโน้มถ่วง และสามารถสร้างสมการที่สำคัญที่สุดสมการแรกใน 4 สมการแห่งพัฒนาการทางฟิสิกส์ อีกสามสมการคือ สมการแรงแม่เหล็กไฟฟ้าของแมกเวลล์ สมการสัมพันธภาพของไอน์สไตน์ และสมการกฏของความไม่แน่นอนของไฮเซนเบิร์ก
ต้นแอปเปิ้ลนี้อยู่หลังบ้านนิวตันเมื่อราวปี คศ.1666 หรือ 400 ปีมาแล้ว แต่ในราวปี คศ.1820 พายุได้ทำให้ต้นดั้งเดิมล้มลงตายไป แต่หน่อใหม่ของต้นเดิมก็งอกขึ้นมา
ส่วนแอปเปิ้ลตกใส่นิวตันจริงหรือไม่ ไม่มีหลักฐานว่าจริงหรือเท็จ แต่ก็เป็นตำนานทางวิทยาศาสตร์ที่สร้างแรงบันดาลใจในการตั้งคำถามและหาคำตอบ
ชื่อ Cambridge ก็มาจากเมืองสะพานข้ามแม่น้ำเคม มีสะพาน สวนสวย ต้นไม้เยอะ มีเรือให้ล่องชมแม่น้ำเล็กๆนี้ด้วย นอกจากนี้ มีนาฬิกาแดดโบราณที่ใช้จริงในอดีต นาฬิกาตั้กแตน (corpus clock)ที่เพิ่งสร้างใหม่ด้วย
กลไกและความรู้ทางวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน และสามารถบอกเวลาได้แม่นยำไปอีกราว200ปีโดยไม่คลาดเคลื่อน
แรงโน้มถ่วงคืออะไร ยังเป็น holygrail หรือจอกศักดิ์สิทธิ์ทางฟิสิกส์ ที่นักฟิสิกส์ทฤษฎีต่างพยายามหาคำตอบ และพยายามหาสมการที่5 สมการแห่งสรรพสิ่งที่รวม 4 แรงเข้าด้วยกันได้ (แรงแม่เหล็กไฟฟ้า แรงนิวเคลียร์เข้ม แรงนิวเคลียร์อ่อน และแรงโน้มถ่วง)
มาเยี่ยมต้นแอปเปิ้ลของนิวตัน ผมจ้องมองเสียนาน ปล่อยความคิดให้เลื่อนไหล เผื่อว่าจะเกิดการปิ๊งแวป (emergence) ของความคิดสมการที่5
ลูกชายบอกว่า “เป็นไปไม่ได้หรอก” “ไม่มีการผุดบังเกิดทางความรู้ มีก็แต่ความพยายามลองผิดลองถูกทีละก้าวเล็กๆ ช่วยกันปะติดปะต่อความรู้ ช่วยกันพัฒนาวิธีแก้สมการทางคณิตศาสตร์ จากนักฟิสิกส์ทั้งโลก สมการใหม่ที่รวมแรงทั้ง4 จึงจะเกิดขึ้นมาได้ นั่นต่างหากคือความจริง”
เดินชม cambridge จนเมื่อย ตกเย็นก็นั่งรถไฟราว 45 นาทีก็ถึงลอนดอน
อังกฤษที่ผมเห็น ตอน 13:
เอดินเบระ เมืองแห่งอนุสาวรีย์ของผู้คน
ความสวยงามของเมืองในยุโรปหรือในอังกฤษหลายๆเมืองมี มีประติมากรรมอนุสาวรีย์ของผู้คนกระจายในสถานที่ต่างๆทั่วเมือง เอดินบะระ เมืองหลวงของสก็อตแลนด์ก็เช่นกัน
อดัม สมิทธิ์ นักเศรษฐศาสตร์เจ้าของแนวคิด invisible hand ตลาดทุนนิยมกับมือที่มองไม่เห็น ยืนตะหง่านในลานถนนสายหลักสู่ปราสาทเอดินเบระ
เดวิด ฮูม นักปรัชญาสายประสบการณ์นิยม (empiricism) ผู้เชื่อในหลักเหตุผล แต่ต้องรับรู้จากประสบการณ์ที่พบเจอ ฮูมนั่งถือกระดานเฝ้าดูผู้คน เท้ายื่นออกมา ผู้คนลูบหัวแม่โป้งจนแววเป็นสีทอง
ยังมีอนุสาวรย์ของเจมส์ แมกเวลล์ นักฟิสิกส์ผู้ค้นพบแรงแม่เหล็กไฟฟ้า อันเป็นข้อต่อสำคัญที่สุดระหว่างนิวตันและไอน์สไตน์ และอนุสาวรีย์อื่นๆทั้งนายพล นักบวช นักปราชญ์ ที่เป็นคนสก็อตแลนด์กระจายทั่วเมืองเอดินเบระ
ยุโรปเขามีความเป็น humanism หรือให้ความสำคัญกับมนุษย์นิยมมานานแล้ว หรืออาจเพราะยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการเรเนซองส์ ที่ผู้คนต้องการลดบทบาทของศาสนจักรกับสังคม น่าจะเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้สังคมสมัยนั้น เชิดชูผู้คนต่างๆที่มีชื่อเสียง ทำความดีสร้างสรรค์สังคม สร้างเป็นอนุสาวรีย์ให้ผู้คนชื่นชมและเอาเป็นแบบอย่าง เป็นการถางทางสร้างอุดมการณ์มนุษย์นิยมจนขยายไกลทั่วโลกในทุกวันนี้
เมืองจะสวยต้องมีประติมากรรมที่สวยงามมีเรื่องราว ตั้งในจุดสำคัญของเมือง เท่าที่ผมรู้ ที่พัทลุงมีอนุสาวรีย์ที่ประชาชนสร้างเองอยู่สองแห่ง อนุสรณ์สถานถังแดง และอนุสาวรีย์ดำหัวแพร หัวหน้าชุมโจรแห่งพัทลุง แม้จะไม่สวยเลิศเหมือนในยุโรป แต่ก็ไว้บอกเล่าประวัติศาสตร์พื้นถิ่นได้ดียิ่ง
อังกฤษที่ผมเห็นตอน 14 :
ไปคารวะ ชาร์ล ดาร์วิน ที่ Natural History Museum
สุดยอดของพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาอยู่ที่กรุงลอนดอน ผู้คนเดินเข้าชมแน่นไม่น้อยกว่า British Museum เขาใช้อาคารเก่าที่สวยงาม ใหญ่อลังการมาทำพิพิธภัณฑ์ เราจึงไม่ได้ชื่นชมแค่ชิ้นงานที่แสดง แต่ได้ชื่นชมอาคารและสถาปัตยกรรมที่สวยงามด้วย เป็นความลงตัวที่ชวนจดจำยิ่ง
ที่ผมชอบมาก แต่คนเยอะมากจนแทบจะถ่ายรูปไม่ได้คือ ชุดพัฒนาการของมนุษย์ Homo กว่าจะมาเป็นเรา Homo Sapiens ในวันนี้ ยังมีโครงกระดูกปลาวาฬโบราณที่ห้อยลงมาก็ยิ่งใหญ่มาก โครงกระดูกช้างสเตโกดอน แรดโบราณ ฟอสซิลต่างๆ สารพัดสัตว์โลกที่สูญพันธุ์ไปแล้ว รวบรวมเก็บรักษาและนำมาแสดง รอบนอกพิพิธภัณฑ์ก็ยังปลูกเป็นป่าเล็กๆ มีพื้นที่ชุ่มน้ำ มีเฟิร์นมหาสดำที่เป็นเฟิร์นโบราณให้เราได้ชม
ในที่สุด ผมก็ได้ไปเจออนุสาวรีย์ ชาร์ล ดาร์วิน นักชีววิทยาที่ยิ่งใหญ่ของโลก นั่งเฝ้ามองผู้คนมาชื่นชมธรรมชาติวิทยาในอาคารหลังใหญ่ ชาร์ล ดาร์วิน ได้ใช้ความรู้พิสูจน์ว่า สัตว์ต่างๆรวมทั้งมนุษย์กำเนิดมาจากวิวัฒนาการ ไม่ได้มีพระเจ้าหรือสิ่งใดสรรค์สร้างขึ้นมา เราและสัตว์ทั้งหลายล้วนมีรากเดียวกัน เป็นส่วนหนึ่งเดียวกันของจักรวาลที่กว้างใหญ่นี้ เราจึงควรเคารพธรรมชาติอย่างยิ่ง
แต่ดูเหมือนกับว่า อารยธรรมอันศิวิไลซ์ของมนุษย์ มุ่งเอาแต่ตนเองเป็นศูนย์กลาง ไม่สนใจธรรมชาติและสรรพสัตว์เอาเสียเลย
อังกฤษที่ผมเห็น ตอน 15
Eco-tourism แห่งยอด Arthur’s Seat
ยอดเขา Arthur’s Seat ข้างๆเมือง Edinburgh เมืองหลวงสก็อตแลนด์ ผมแนะนำว่าต้องเดินขึ้นไปชมเลย สวยมาก ยอดสูง 823 เมตร ไม่ได้สูงมาก ทางเดินตัดผ่านทุ่งหญ้าสวยงาม ใกล้ยอดจึงจะเป็นหินและชันนิดหน่อย ปีนป่ายไม่ยาก วันที่ผมมานั้นลมแรงมาก ไม่มีแดด เย็นสบายที่ 13 องศา
ที่นี่เป็นการท่องเที่ยวธรรมชาติที่แทบจะไร้สิ่งแปลกปลอมใดๆ ไม่มีถังขยะ ไม่มีป้ายเตือน ไม่มีป้ายบอกทาง ไม่มีรั้วกันตก ไม่มีร้านค้า ไม่มีเก้าอี้นั่งพัก ทางเดินที่สูงชันมีการเรียงหินให้คล้ายบันไดก็เท่านั้น ไม่มีไกด์ ไม่มีคณะทัวร์ ไม่มีเจ้าหน้าที่ ทุกคนดูแลตนเอง ขยะเอาลงมาทิ้งเอง สัญญาณอินเตอร์เน็ตถึง จึงดูแผนที่การเดินจากมือถือได้ สิ่งแปลกปลอมเดียวที่มีคือ แท่งปูนบนยอดเขา Arthur’s Seat ที่บอกว่านี่คือยอดและมาถึงแล้ว
บนเขามีเส้นทางหลายทางมาก ที่เกิดจากคนเดินจนหญ้าแหวกเป็นทางเราให้เห็น ผมและครอบครัวเดินขึ้นทางชันน้อย แต่ตอนกลับเลือกลงอีกทางที่ชันมาก ใช้เวลาบนนี้ร่วมสามสี่ชั่วโมงเพื่อชื่นชมธรรมชาติ ที่นี่ต้องเดินเท่านั้น รถขึ้นไม่ได้
ใครมาเอดินบะระ แนะนำครับว่าควรต้องจัดเวลามาขึ้นเขาลูกนี้ ดูเหมือนไกลเดินไม่น่าไหว แต่จริงๆไม่ได้ไกลและไม่ได้ยากเลย
การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เป็น trend ใหม่ของโลก ในยุคที่มนุษย์โหยหาธรรมชาติ การรักษาสภาพแวดล้อมในธรรมชาติโดยไม่มีสิ่งแปลกปลอมใดๆเลย เป็นอีกแนว pure eco-tourism ที่หายากในเมืองไทย
เป็นวันที่ผมชอบที่สุดในทริปอังกฤษครั้งนี้ครับ
อังกฤษที่ผมเห็น ตอน 16 :
เสรีภาพในการแสดงออกมีอยู่จริง
ไปอังกฤษรอบนี้ ผมเห็นเสรีภาพในการแสดงออกหรือการรณรงค์ประท้วงอย่างสงบ 3 ครั้ง ที่ชัดเจนมากว่า เป็นสิทธิการแสดงออกที่รัฐต้องเคารพ
ในงานรับปริญญาที่ Oxford ก็มีนักศึกษาฝรั่งถือธงปาเลสไตน์ผืนใหญ่เข้ามาในพิธีรับปริญญา เขาก็ให้นำเข้ามาได้ ในขอบเขตที่ไม่รบกวนขั้นตอนในการทำพิธี ต่างคนต่างเคารพสิทธิกันและกัน นักศึกษาเคารพสิทธิเพื่อนและครูอาจารย์ในการถือธงเข้ามาอย่างสงบ ไม่ได้ทำให้พิธีการชงักงัน เจ้าหน้าที่อาจารย์ก็เคารพสิทธิไม่ปิดกั้นห้ามแสดงออก
ที่ Cambridge ก็มีกลุ่มคนราว 30 คน รวมตัวแสดงออกที่ตลาดกลางเมือง เพื่อยืนเคียงข้างปาเลสไตน์ปกป้อง Gaza จากการโจมตีทำลายบ้านเมืองของอิสราเอล ก็ไม่เห็นมีตำรวจมาคุมเชิงใดๆ
ที่ Hyde Park สวนสาธารณะใหญ่กลางกรุงลอนดอน ก็มีขบวนธงแสดงออกทางการเมืองเดินข้ามสะพานในจุดที่ทุกคนต้องชำเลืองมอง ก็ไม่มีตำรวจหรือใครมาติดตาม
ผมไม่รู้ที่อังกฤษนั้น การรณรงค์หรือแสดงออกทางการเมืองต้องขออนุญาตเจ้าหน้าที่รัฐทุกกรณีไหม แต่ของประเทศไทยชัดเจนว่า ถ้ารณรงค์ชุมนุมเชียร์รัฐบาลไม่ต้องขอ แต่ถ้ารณรงค์อื่นใดแล้วไม่ขอละก็ จะโดนข้อหาผิดกฎหมาย พรบ.ชุมนุม แน่นอน
เขาเคารพสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกจนเข้าไปใน DNA แล้ว แต่เราแม้จะเขียนชัดถึงสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกอย่างสงบไว้ในทุกรัฐธรรมนูญ แต่ความจริงคือ สิ่งที่เขียนกับสิ่งที่ทำนั่นตรงข้ามกันมาตลอด
อังกฤษที่ผมเห็น ตอน 17
คนไร้บ้าน ความแปลกแยกแห่งโลกทุนนิยม
คนไร้บ้านมีให้เห็นในเกือบทุกจุดในเมืองใหญ่อย่างลอนดอน นั่งๆนอนริมถนนพร้อมแก้วสำหรับการบริจาค เป็นปัญหาของเมืองใหญ่ทั่วโลก คนไร้บ้านส่วนหนึ่งเหมือนมีเสื้อกั๊กสะท้อนแสงให้ใส่ ผมไม่รู้ว่าทำไม เดาว่ามีการลงทะเบียนเพื่อขอรับความช่วยเหลือจากรัฐแล้ว
สำหรับประเทศในเขตหนาว ความไร้บ้านก็จะโหดร้ายมาก ความหนาวที่เสียดแทงเข้าไปในร่างกาย ความป่วยไข้ไม่สบาย เป็นภาวะที่สังคมยอมจำนนต่อปัญหาจากระบบทุนนิยม
ทำไมถึงไร้บ้าน เชื่อว่าส่วนใหญ่เพราะค่าครองชีพที่สูงมากบวกกับค่าเช่าบ้านที่แพงมาก ชีวิตมีวิกฤตจนจ่ายไม่ไหว ถูกให้ออกจากบ้าน จึงต้องใช้ที่สาธารณะในการหลับนอน เมื่อเนื้อตัวมอมแมม เป็นคนไร้บ้าน ก็ยิ่งจะสมัครงานยาก คนไม่กล้ารับเข้าทำงาน เกิดเป็นวงจรกับดักแห่งความไร้บ้านขึ้นมา
วันหนึ่งผมเดินผ่านไปเห็นองค์กรอาสาสมัครแห่งหนึ่ง มาจัดอาหารฟรีให้คนไร้บ้าน มองแล้วก็เป็นขนมปังแซนวิชหน้าตาน่าทาน คนไร้บ้านก็มาต่อคิวรอรับอาหารกัน เชื่อว่ามีผู้คนที่ทำการสงเคราะห์ปันอาหารให้คนไร้บ้านอยู่ไม่น้อย เขาจึงยังอยู่ได้โดยที่รัฐไม่ได้ช่วยเหลือ
บ้านว่างบ้านร้างมีอยู่ทั่วไปแต่คนไร้บ้านกลับไม่มีบ้านอยู่ หรือเพราะความไร้บ้านเขาจึงมีอาหาร เสรีภาพที่เขาเลือกระหว่างเป็นคนไร้บ้านกับการกักขังในบ้านพักคนเร่ร่อน
อย่างไรก็ตาม นี่คืออาการแสดงของความป่วยไข้ของสังคมที่เราอยู่ เป็นโจทย์ที่ยากของสังคมทุนนิยม ก่อนที่สังคมเราจะพัฒนาไปสู่สังคมนิยมสมบูรณ์ตามที่คาร์ลมาร์กเขียนไว้ ซึ่งไม่รู้เมื่อไหร่ แต่ที่แน่ๆคือ “อึกนาน”
อังกฤษที่ผมเห็น ตอน 18 :
Harrods ห้างหรูแห่งกรุงลอนดอน
มาถึงกรุงเทพต้องไปเดินสยามพารากอน มาถึงลอนดอนเลยต้องไปเดินดูห้องแฮร์รอดส์เสียหน่อย รถไฟใต้ดินพาเราไปลงสถานีสะพานอัศวิน (knight bridge) เดินมาอีกนิดก็เจอห้าง Harrods ห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในลอนดอน
ห้างนี้เปิดมาตั้งแต่ พ.ศ.2377 โดยชาร์ล เฮนรี่ แฮร์รอดส์ ส่วนอาคารปัจุบันนั้นสร้างมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2448 รูปอาคารห้างแฮร์รอดส์ทำให้ผมนึกถึงห้างสยามนครินทร์ในเมืองหาดใหญ่ เดาว่าคงมีแรงบันดาลใจในการออกแบบจากห้างนี้
ชั้นล่างขายสินค้าหรูราคาแพง อาทิกระเป๋าแบรนด์เนม เสียงคนไทยคุยกันดังมีให้ได้ยินในหลายจุด คนไทยนี่ไม่ธรรมดาจริงๆในเรื่องสินค้าฟุ่มเฟือย
ที่อังกฤษ ภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่ที่ 20% ซึ่งเป็นอัตราสากลของประเทศในยุโรป กระเป๋าในห้างนี้ที่ราคาใบละ 5 แสน จึงมีราคา 6 แสนบาทจากภาษีมูลค่าเพิ่มที่ขอคืนภาษีไม่ได้
จริงๆห้างใหญ่ที่สุดแห่งนี้ก็ไม่ได้ใหญ่โต ห้างในเมืองไทยใหญ่กว่ามาก ผมอยู่ไม่นานก็ไปดีกว่า ใกล้ๆมี Hyde Park สวนสาธารณะใหญ่กลางกรุงลอนดอน เดินไปอีกหน่อยก็ Buckingham Palace พระราชวังของกษัตริย์อังกฤษ เดินชมเมืองสูดอากาสใสๆสุขใจกว่าชมห้าง แค่มาให้รู้ว่าได้มาแล้ว คงเพราะเรายังจนเกินไป
ได้ของฝากติดมือมานิดหน่อย ไว้ฝากผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่คนนั้นคือใคร.. ไม่บอกครับ..
อังกฤษที่ผมเห็น ตอน 19 :
British Museum ที่เดินทั้งวันก็ดูไม่หมด
พิพิธภัณฑ์ British Museum กำเนิดในปี ค.ศ.1753 ปัจจุบันมีวัตถุที่เก็บอยู่กว่า 8 ล้านชิ้น ชุดการแสดงของอาญาจักรฟาโรห์และมัมมี่แห่งอิยิปต์น่าจะเป็นชุดที่โดดเด่นที่สุด
ที่นี่มีคำขวัญว่า เป็นพิพิธภัณฑ์ของโลก จึงเห็นสมบัติล้ำค่าจากทุกมุมโลก ที่สะสมมาตั้งแต่เริ่มยุคล่าอาณานิคมจนแทบไม่เห็นความเป็นอังกฤษ ในมุมหนึ่งก็เป็นการนำเอาสมบัติชาติอื่นมาเป็นของตนเองอย่างที่ไม่ควรจะทำ แต่ในอีกมุมสำคัญก็เป็นการเก็บรักษาสมบัติทางประวัติศาสตร์ของประเทศต่างๆในยุคสมัยแห่งความวุ่นวายให้ปลอดภัยจากนักขุดขายของเก่า
ในช่วงสงครามโลก โบราณวัตถุเหล่านี้ถูกนำไปเก็บรักษาอย่างดี อาคารพิพิธภัณฑ์ได้รับความเสียหายจากระเบิด หลังสงครามก็ซ่อมแซมอาคารและนำโบราณวัตถุกลับมาเก็บและจัดแสดงใหม่
สิ่งที่ผมชอบที่ British Museum คือ กระจกที่ใสมาก ไม่รู้กระจกพิเศษไหม ที่ไม่ค่อยมีการสะท้อนแสงเงา และการจัดแสงไฟที่ไม่มีรบกวนการถ่ายรูป รูปถ่ายแม้จะผ่านกระจก แต่ก็ชัดมาก แสงสะท้อนรบกวนน้อยมาก เรื่องราวที่แสดงถ้ามีการศึกษางานชุดนั้นอย่างละเอียด ก็จะเขียนถ่ายภาพสวยๆชัดๆ พิมพ์ออกมาเป็นหนังสือขาย เพื่อให้ความรู้กระจายออกไป
เดินชมทุกห้องไม่ไหว เดินกันขาลากครับ ที่นี่เน้นงานแสดงเก็บรักษาแบบ conventional คือ จัดแสดงพร้อมป้ายข้อมูลให้อ่านเอง ไม่หวือหวา ไม่มี interactive ให้กดให้แตะ ใครที่ไม่ชอบประวัติศาสตร์ก็อาจจะเบื่อๆได้
ที่นี่เข้าฟรี ขอเพียงลงทะเบียนทางออนไลน์ พิพิธภัณฑ์ในอังกฤษมีเยอะมาก ทั้งที่เข้าฟรีและเก็บเงิน เชื่อว่าที่ฟรีต้องลงทะเบียนออนไลน์ทั้งหมด คงเพื่อการเก็บข้อมูลของเขา
พิพิธภัณฑ์คือบันทึกประวัติศาสตร์ที่สำคัญของชุมชน ทุกเมืองควรเริ่มมีการสร้างพิพิธภัณฑ์ หรือนี่คืออีกหน้าที่ขององค์การบริหารส่วนจังหวัด!
อังกฤษที่ผมเห็น ตอน 20 :
พระบรมรูปทรงม้าแห่ง trafalgar square
จตุรัสทราฟาวการ์ (Trafalgar Square) เป็นจตุรัสใหญ่กลางเมืองที่โดดเด่น รถเมล์หลายสายวิ่งผ่าน เป็นที่นั่งพักผ่อน ชมเมืองของผู้คน
ที่นี่มีประติมากรรมหลายชิ้น มีอนุสาวรีย์พระบรมรูปทรงม้าของกษัตริย์ชาร์ลที่1 มีเสาหินสูงเรียกว่า Nelson’s Column ซึ่งเป็นอนุสรณ์สถานถึงชัยชนะในการรบกับฝรั่งเศสในสงครามนโปเลียน ตึกใหญ่ข้างหลังก็คืออาคาร National Gallery มีน้ำพุและสระน้ำสวยงาม เห็นจัตุรัสแห่งนี้แล้ว ชวนให้นึกถึงลานพระบรมรูปทรงม้าที่บ้านเรา มีพระที่นั่งอนันตสมาคมที่สวยงามยิ่งใหญ่อยู่ฉากหลัง ลานปูนกว้างใหญ่ที่ในอดีตตกค่ำมีผู้คนไปนั่งเล่น ไปกราบไหว้พระปิยะมหาราชตามศรัทธาทคล้ายๆกับ Trafalgar Square
Trafalgar Square เป็นจตุรัสลานปูนที่เป็นพื้นที่สาธารณะกลางเมือง ผู้คนมาเดินเที่ยวเล่น มีคนมาเล่นดนตรีเปิดหมวก ชมเมืองชมแสงสีสวยงาม
เมืองใหญ่ต้องมีพื้นที่สาธารณะให้มากๆ ผู้คนจะได้ไม่ต้องไปจบที่เดินห้างกับร้านกาแฟ จัดพื้นที่ให้สวยงาม ให้มีแสงสว่างเพียงพอ มีขั้นบันไดบ้าง ประติมากรรมบ้าง ประดับให้สวยงาม เป็นสถานที่พักผ่อนของผู้คน
เมืองใดไม่มีจตุรัสกลางเมือง เมืองนั้นยังไร้ซึ่งความศิวิไลซ์
อังกฤษที่ผมเห็น ตอน 21 :
Big Ben บิ๊กจริงๆ
หอนาฬิกา Big Ben พร้อม พระราชวังและมหาวิหาร westminster เป็นสัญลักษณ์ของประเทศอังกฤษ ที่ทุกคนต้องมาเยี่ยมชม ภาพหอนาฬิกาใหญ่ยักษ์ริมแม่น้ำเทมส์ พร้อมสะพาน อาคารทรงยุโรปสวยงาม และ London’s Eye (ชิงช้าสวรรค์) ที่อยู่ไม่ไกล ทำให้ที่นี่เป็นแลนด์มาร์กที่น่าทึ่งสวยงามมากๆ
Big Ben สร้างด้วยศิลปะแบบโกธิค เสร็จใน ค.ศ.1859 ความยากของการสร้างหอนาฬิกาคือความแม่นยำของการบอกเวลาของนาฬิกาขนาดใหญ่แถมมีตัวเรือนบอกเวลาถึง 4 ด้าน มีระฆังใหญ่ 5 ลูกสำหรับบอกเวลา ความแม่นยำของนาฬิกาสะท้อนถึงความรู้และศิลปะวิทยาการของกลไกที่น่าทึ่งในสมัยนั้น และมีการปรับซ่อมกลไกเดิมบ้างเวลาเสีย โดยกลไกยังเดินตรงเวลาจนถึงปัจจุบัน
ส่วนมหาวิหารและพระราชวังเวสต์มินสเตอร์สร้างในปี ค.ศ.1016 หลังไฟไหม้ใหญ่ในปี 1834 ก็มีการก่อสร้างใหม่ ที่นี่เป็นพระราชวังของกษัตริย์ราชวงศ์อังกฤษมายาวนาน และได้เปลี่ยนมาเป็นอาคารรัฐสภาของสหราชอาณาจักรในปี ค.ศ.1970
อังกฤษที่ผมเห็น ต้องยุติลงในตอนนี้ ไม่น่าเชื่อว่าเขียนได้ตั้ง 21 ตอน Big Ben บิ๊กและสวยงามจริงๆ
ผมถูกถามมาตลอดหลายวันจากเพื่อนฝูงคนรู้จักว่า “หมอ กลับจากอังกฤษแล้วยัง” จริงๆผมกลับมาทำงานนานแล้ว อยู่ที่นั่นเก็บรูปเก็บความคิด ส่วนใหญ่กลับมาเขียนที่สะบ้าย้อยและหาดใหญ่ครับ
ครอบครัวเราไปเที่ยวกันเอง เดินไปตามใจที่อยากไป ตามแรงขาที่มี เลยมีเวลาเก็บเกี่ยวสิ่งที่พบที่เห็นมาบอกเล่ากันฟัง
โลกนี้กว้างใหญ่ สันติภาพมีความหมาย มิเช่นนั้นอารยธรรมมากมายของมนุษยชาติอาจถูกทำลายจนหมดสิ้น
นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ บันทึกเรื่องราว
เดือนกันยายน - เดือนตุลาคม 2567
Relate topics
- มาลองสู้กับความเจ็บป่วยทางสังคมสักตั้ง!!
- จดหมายข่าวโครงการประชาสังคมร่วมแรงเพื่อเปลี่ยนแปลงเมือง (SUCCESS) ฉบับที่ 1 - 10
- ก้าวที่ 1 ของ iMedCare ธุรกิจเพื่อสังคมของสงขลา"
- "แผนผังภูมินิเวศ"
- เครือข่าย SUCCESS เมืองควนลังร่วมงานส้มโอเมืองควนลังปี 2567
- "ทีม iMedCare วิถีผู้ดูแลผู้ป่วยที่บ้าน"
- อังกฤษที่ผมเห็น ตอนที่ 1 - 10
- "iMed@home ระบบกลุ่ม"
- สมัชชาสุขภาพจังหวัดสงขลาชูวาระ "พลิกโฉมพลังพลเมืองสงขลาเพื่อสังคมสุขภาวะที่ยั่งยืน"
- กิจกรรมรับบริจาคโลหิตประชารัฐสงขลาประจำเดือนตุลาคม 2567